วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เปรียบเทียบ ปลาซาร์ดีน VS ปลาแมคเคอเรล


 เปรียบเทียบ ปลาซาร์ดีน VS ปลาแมคเคอเรล 
สงสัยมานานละ ปลาอะไรทำปลากระป๋องอร่อยกว่ากัน
เนื่องจากราคาจะเท่าๆกัน ประมาณกระป๋องละ 10 กว่าบาท
มีหลากหลายยี่ห้อมากทั้งในร้านมินิมาร์ทและซูปเปอร์สโตร์

ท้าวความเดิม
เนื่องจาก หิวตอน 3 ทุ่ม ของวันหนึ่ง เลยไปเลือกของกินในห้างยักษ์ใหญ่สีเขียวแห่งหนึ่ง 
หวยมาลงที่ ปลากระป๋อง แต่ก็ต้องเลือกอยู่นานพอสมควร 
จนเสียงประกาศตามสายบอกมาว่า "จะปิดละนะ จะซื้อก็ให้ไวหน่อย"
(อันนี้คือความหมาย แต่จริงๆพูดสุภาพกว่านี้ ขำๆนะ อำเล่น)
ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกต แต่พอสังเกตดีๆ  เท่านั้นแหละ
เฮ้ย! ปลากระป๋อง มันผลิตจากปลาสองชนิดนี่หว่า
ก็คือ "ปลาซาร์ดีน" และ "ปลาแมคเคอเรล"
กระป๋องสีเดียวกันเด๊ะ ต่างกันตรงตัวอักษรบนกระป๋อง
นึกว่า ตาลาย  เพราะนั่งอ่านเฟซชาวบ้านมาทั้งวันซะอีก อิอิ

เหตุผลที่เลือกยี่ห้อนี้
ที่เลือกยี่ห้อซีเล็ค ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหุ้น TUF แต่ประการใดนะครับ
แต่เพราะ มันลดราคาอยู่ หนุ่มคิดบวก ก็เลือกเลือกตัวนี้มาทาน

เนื้อในแต่ละประเภท กับ รูปประกอบชัดๆ
ปลาซาร์ดีน ในซอสมะเขือเทศ
ปลาแมคเคอเรล ในซอสมะเขือเทศ


ตารางเปรียบเทียบ 


ท้ายที่สุดนี้
หนุ่มคิดบวก ไม่ขอฟันไตรรงค์ (ฟันธง) นะครับว่าอะไรดีกว่า
เอาเป็นว่า ใครชอบแบบไหนก็ซื้อหารับประทานกันได้ 
ไม่อยากขอชี้นำ แต่อยากขอคำชี้แนะ

เอาไว้ไปเจออะไร ตกใจอีก จะเอามาเปรียบเทียบใหม่ละกัน บาย บาย

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่า


พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะกองให้
จงตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือ
หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ
เพื่อยึดถือเป็นเยี่ยงหล่อเลี้ยงกาย
 
พ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่า
จะเลี้ยงเจ้าเรื่อยไปนั้นอย่าหมาย
จงใช้วิชาช่วยตนไปจนตาย
ลูกช่วยตนได้ พ่อกับแม่ก็พอใจ

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววานของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป
 
ขอเถิดถ้าสงสาร อย่างกล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน คลายทุกผ่อนพอสุขใจ
 
เมื่อยามเจ้าโกรธขึง ให้นึกถึงเมื่อเยาวัย
เมื่อยามเจ้าป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม
 
ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุก ๆ ยาม
ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ ให้วังเวง ฯ
 
พ่อแม่ก็แก่ลง นับวันคงถอยเรี่ยวแรง
ดุจดังอาทิตย์แสง สีส้มอ่อนเมื่อตอนเย็น
ดวงตาท่านฝ้าฟาง มองเลือนรางเมื่อยามเห็น
ความจำแสนลำเค็ญ หลงลืมเป็นทุกเรื่องไป
 
หยิบยกของตกหล่น งกเงิ่นจนลื่นไถล
คนแก่แต่ไหนไร ยากที่ใครจะเหลียวแล
บุญดีก็มีลูก ใส่ยาหยูกผูกพันแผล
ให้นอนพรมห่มผ้าแพร เฝ้าดูแลและห่วงใย
 
ของอ่อนป้อนพ่อแม่ เพราะท่านแก่เคี้ยวไม่ไหว
บางคนจนน้ำใจ ปล่อยให้ท่านน้ำตาริน
เลี้ยงหล่อพ่อแม่ไว้ บุญนั้นไซร้เหมือนทรัพย์สิน
ทำให้ได้ใช้กิน ไม่หมดสิ้นไปก่อนกาล
 
ความแก่ไม่ไปไหน อีกไม่ไกลก็คืบคลาน
แม้เราและลูกหลาน ก็ต้องแก่ไม่แพ้กัน
ทำดีกับท่านเถิด บุญบังเกิดมากมหันต์
อย่ามัวแต่ผัดวัน เมื้อไรกันจะเกื้อกูล
 
หมดลมก็หมดแล้ว สองดวงแก้วก็สิ้นสูญ
ร้องหาด้วยอาดูร พ่อแม่จ๋าอย่าเพิ่งตาย
ยื้อยุดฉุดกระชาก พูดแต่ปากมันก็สาย
ทำดีอย่าเสียดาย เพราะวันตายท่านหลับตา.

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การปรับตัว คือ ทางรอด


การปรับตัว คือ สิ่งเดียวที่ช่วยให้อยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนแปลง

เมื่อก่อน ร้านกาแฟ มักจะเปิดเพลงโดยการเล่นจาก CD บ้าง จาก mp3 บ้าง
ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศในร้านชิวล์ขึ้น น่านั่ง และผ่อนคลาย

ต่อมาในยุคที่เพลงขายไม่ได้ ค่ายเพลงต่างๆก็หันมาเข้มเรื่องลิขสิทธิ์มากขึ้น
การเอาการเอาเพลงมาเปิดในเชิงพานิชย์ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์
ขนาดนักร้องเองก็ไม่มีสิทธิ์เอาเพลงที่ตนเคยร้อง ไปร้องเพื่อหาเงินส่วนตัว ตามคอนเสริตต่างๆ

ร้านกาแฟจึงหาวิธีเอาตัวรอด 
โดยการเปลี่ยนมาเปิดเพลงจากเวบ YouTube แทน 
ซึ่งแบบนี้ไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ
เป้าหมายก็คือได้เพลงฟังเหมือนกัน และไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องลิขสิทธิ์ด้วย
ทั้งนี้ ยังสามารถให้ลูกค้าได้ดูตัว MV อีกต่างหาก ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

ในโลกที่เปลี่ยนแปลง 
ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว 
สิ่งที่เคยทำได้ดีในวันก่อนอาจจะไปไม่รอดในวันนี้

กฏกติกามันเปลี่ยนแปลงไป 
ผู้เล่นอย่างเราต้องเรียนรู้และปรับเปลี่ยนแผนให้สามารถอยู่รอดได้

คนที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไร ถือตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล
ย่อมต้องเจอกับความยากลำบาก และอาจจะต้องออกจากเกมไปในที่สุด

ชีวิตมันไม่ได้ยาก และก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว
ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจกฏกติกาของมันและไม่ประมาท
เป็นวิธีที่ไม่ควรมองข้ามนะคับ


ยิ่งมองมุมที่สูงกว่า ยิ่งเห็นได้กว้างกว่า


แง่คิดจากรูปนี้ "เปรียบชีวิตคนเรา กับการมองจากที่สูง"
คนที่อยู่ที่ สูงกว่า ย่อมจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้กว้างกว่าคนที่อยู่ ต่ำกว่า เสมอ

แน่นอน มันสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ที่คนอยู่สูงกว่า มองเห็นได้ไกลกว่า

concept นี้ ถูกนำมาใช้กับอีกหลายๆสิ่ง อาทิ
- รถกระบะที่มีการยกตัวรถให้สูงขึ้นจากเดิม ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นไกลขึ้น
- การรายงานข่าวโดยการนั่งเฮลิคอปเตอร์ เพื่อจะได้มองเห็นภาพรวมทั้งหมด
- การสร้างตึกสูงๆ เพื่อที่จะได้มองเห็นวิวเมืองได้กว้างและไกลขึ้น 

ดังนั้น คนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่าหรือตัวสูงใหญ่กว่า
มักจะได้เปรียบคนที่เตี้ยกว่าหรืออยู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า

เช่นเดียวกับ คนในองค์กร ที่มีตำแหน่งสูงกว่า มักจะมองเห็นอะไรได้กว้างกว่า คนที่ตำแหน่งต่ำกว่า
ดังนั้น ถ้าเราไม่สามารถขึ้นไปมองที่ตำแหน่งที่สูงกว่าได้
เราอาจจะตัดสินใจพลาดเนื่องจากการที่เรามีข้อมูลที่น้อยกว่านั่นเอง

แต่มีคำที่ว่า "ยิ่งสูงยิ่งหนาว"
นั่นเพราะ ยิ่งที่สูงก็ยิ่งจะมีคนที่ไปถึงได้น้อยราย
คนที่ประสบความสำเร็จ ก็เปรียบดั่งคนที่อยู่บนยอดพีระมิด
นั่นคือ รูปทรงพีระมิดนั้น ตำแหน่งฐานจะกว้างและส่วนยอดจะแคบและแหลมคม
การจะไปที่ปลายยอดได้ ต้องมีความแตกต่างจากคนส่วนใหญ่เขาคิดและทำกัน
การจะไปตำแหน่งที่สูงกว่า ย่อมต้องมีความพิเศษกว่าตำแหน่งด้านล่าง
คนที่ด้อยกว่า มักจะไม่ค่อยมีใครกล้าคบค้าสมาคมกับคนที่โดดเด่นกว่า
คนเรามักจะชอบอะไรที่คล้ายๆกับตนเอง
ดั่งนั้น คนที่คล้ายๆกันก็จะกอดคอกันเป็นฐานให้กับพวกยอดพีระมิดนั่นเอง

แต่ไม่มีอะไรที่ยืนยงคงกระพัน เราสามารถที่จะขึ้นไปเป็นยอดได้
และคนที่เป็นยอดก็อาจจะตกลงมาเป็นฐานได้เช่นกัน
ดังนั้น เวลาสำเร็จอย่าเหลิง เวลาล้มเหลวอย่าท้อ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ศิลปะคือสิ่งที่สะท้อนสังคมในขณะนั้น


ไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวไต้หวัน
สิ่งที่เจอแล้วสะดุดตามาก
ก็คือ
"พวกรูปปั้น ที่วางอยู่ใกล้ๆกับสังคมเมืองอย่าง Ximending

 แรกๆก็ดูผ่านตาไป ดูมันสวยดี แอบไปถ่ายรูปด้วยอยู่เลย
จริงๆมีรูปปั้นที่หลากหลาย เป็นการสะท้อนสังคมปัจจุบันของเมืองนั้นๆ
อาทิเช่น มีรูปปั้นคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ รูปปั้นคนถ่ายเซลฟี่ ฯลฯ

พอมีเวลามากขึ้น ได้กลับมาดูรูปถ่ายที่ไปเที่ยวมา
ก็สะดุดตากับรูปนี้เข้า และได้ข้อคิดขึ้นมา
" ศิลปะ มันคือสิ่งที่สะท้อนสังคมในขณะนั้น "

สังคมในอดีต
ลองคิดถึงพวกรูปปั้นของฝรั่งในสมัยก่อน
ส่วนใหญ่จะเป็นรูปคน บ้างก็รูปเทพเจ้า บ้างก็เป็นผู้นำชุมชนนั้นๆ
สัดส่วนจะออกสมจริงหน่อย และ เน้นความสมจริงเป็นหลัก
มักจะวางไว้ตำแหน่งที่มีผู้คนสัญจรเยอะๆ เพื่อเป็น Landmark และใช้ประดับตกแต่ง

สังคมสมัยใหม่ 
ก็จะเป็นรูปปั้นในลักษณะที่เน้นอริยาบทของคนมากขึ้น 
มากกว่านั้นก็จะมีรูปปั้นสัตว์ รูปปั้นตัวการ์ตูนในจินตนาการ
หรือรูปปั้นที่ไม่ใช่คนแต่เป็นลักษณะที่เขาคิดจินตนาการขึ้นมา
ตามแต่ที่ศิลปิน ในเมืองนั้นๆ ได้จินตนาการออกมาได้
ยิ่งแตกต่าง ก็ยิ่งเป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่แปลกใหม่มากขึ้นนั่นเอง

ดังนั้น ไม่มีผิดไม่มีถูก ในเรื่องของศิลปะ
จินตนาการ เป็นเรื่องที่ดี และสร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นมามากมาย

ศิลปะ จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยไม่เคยหยุดนิ่ง
สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าดีก็จะคงอยู่ 
สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เหมาะก็จะค่อยๆเลือนหายไป


วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

จะเป็น Super Hero หรือ จะเป็น แค่เศษเหล็ก


วันก่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม ไร่เชิญตะวัน ของท่าน ว.วชิรเมธี ทำให้ได้เจอ Iron man ตัวนี้
และได้เรียนรู้ปริศนาธรรมจาก โมเดล ซูปเปอร์ฮีโร่ ที่ทุกคนต่างรู้จักกันดี

ปริศนาธรรมที่ได้ ก็คือ "จงเป็น SuperHero หรือไม่ก็เป็นแค่เศษเหล็ก"

ขอยกเอากลอนที่ท่านอาจารย์วอ ได้ประพันธ์ไว้มาให้ได้อ่านกัน

อันเศษเหล็กไร้ค่าไม่น่ามอง
ทิ้งเป็นกองซากขยะกักขฬะผล
ศิลปินไปพบตบแต่งจน
เป็นสุดยอดหุ่นยอนต์ศิวิไลซ์
อันเศษคนไร้ค่าน่าประณาม
ถูกคนหยามต่ำตกจนอกไข้
หากไม่ยอมระย่อก้าวต่อไป
สักวันไซร้จะผลิผล "คนชั้นนำ"


ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
" คุณคือคนที่รับผิดชอบ 100% สำหรับทุกเรื่องที่คุณทำ "
"  จงพัฒนาตัวเองให้เป็นเบอร์หนึ่ง เพราะโลกไม่เคยจดจำเบอร์สอง "


หลักๆแล้ว แนวคิดคือ ถ้าจะทำอะไรก็ทำให้มันดีที่สุด อย่าทำครึ่งๆกลางๆ
ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่ขอให้มันพัฒนาขึ้นทุกครั้งที่ทำ
และขอให้มีเป้าหมายโดยการเป็น Number 1 ในเรื่องที่ทำให้ได้
แน่นอนว่า ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนานา กว่าจะเป็นที่หนึ่งได้
หลังจากนั้นก็จะมีผู้ท้าชิงที่อยากจะเป็นที่หนึ่งเหมือนกับเราเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ

การพัฒนาและเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง หรือ Continue Improvement จึงเป็นสิ่งสำคัญ

และมีคำคุ้นหูที่ว่า
" การจะเป็นที่หนึ่งว่ายากแล้ว การจะรักษาตำแหน่งที่หนึ่งไว้ยิ่งยากกว่า "

สุดท้ายนี้ ผมมีข้อแนะนำดีๆ สำหรับการจะเป็นเบอร์หนึ่ง
จงทำให้ดีกว่าเบอร์หนึ่งในปัจจุบันที่เขาทำได้
ถ้าเขามีข้อเด่นอยู่ห้าอย่าง จงทำข้อเด่นที่เขามีทั้งห้าอย่างให้ได้ และเพิ่มพิเศษอีกสองอย่าง
ถ้าเขาทำดีมากจนไม่รู้จะหาอะไรไปพิเศษกว่าเขาอีกแล้ว จะทำอะไรที่แตกต่างจากเขา
สิ่งเดียวที่จะทำให้เราแตกต่างจากเขาได้ คือ ดีกว่า และ/หรือ แตกต่าง 

ขอให้ผู้อ่านทุกท่านได้ข้อคิดแล้วไปทำให้ชีวิตของตัวเองประสบความสำเร็จนะครับ

 

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ถ้าชีวิตคุณเสมือนไร้คุณค่า นั่นคือ ถึงเวลาเดินทางแล้วละ


หัวเรื่อง : ถ้าชีวิตคุณเหมือนไร้คุณค่า นั่นคือ ถึงเวลาเดินทางแล้วละ
ภาพและบทความโดย : หนุ่มคิดบวก
สถานที่ : หน้าห้าง SOGO เมืองไทเป ย่าน Zhongxiao Fuxing

โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชอบรูปนี้เป็นการส่วนตัวมากๆ ถือว่าโชคดีที่ได้ถ่ายรูปนี้มา
มองรูปนี้ทีไร มันเหมือนให้พลังกับเรา รูปจะประกอบไปด้วย ชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ริมถนน
มีรถวิ่งขวักไขว่ไปมา และมีห้าง SOGO สีเขียว ซึ่งเป็นห้างดังอันดับต้นๆของไต้หวัน
อยู่ที่ฝั่งตรงกันข้าม

จริงๆแล้ว รูปนี้คือ ผู้ชายคนนี้กำลังรอสัญญาณไฟ เพื่อจะเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง
แต่ข้อคิดที่ผมได้จากรูปใบนี้มันลึกซึ้งกว่าความจริงที่เรารู้ๆกัน

นั่นคือ "ถ้าชีวิตคุณเสมือนไร้คุณค่า นั่นคือ ถึงเวลาเดินทางแล้วละ"

การเดินทาง  
มันจะช่วยให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ยิ่งถ้าเป็นการเดินทางด้วยตัวเองแล้ว
คุณจะเห็นตัวเองในมิติอื่นๆ ที่คุณอาจจะเคยมองข้ามไป
การเดินทางนั้น ต้องศึกษาเส้นทางและแผนที่ ศึกษาที่ที่จะไปทั้งที่พัก ที่กิน และที่เที่ยว
การเดินทางไปที่ใหม่ๆ จะทำให้คุณออกจาก Comfort Zone ที่คุณซุกตัวอยู่มานานพอควร
ยิ่งคุณอยู่ใน Comfort Zone ที่แสนสบายนานเท่าไร คุณจะยิ่งลดความกระหายต่อความสำเร็จลง 
 
ยิ่งคุณสบาย ... ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น
ยิ่งคุณสบาย ... คุณก็ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ทุกอย่างรอบๆตัวดีขึ้น
ยิ่งคุณสบาย ... คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรที่คุณไม่อยากจะทำ
ยิ่งคุณสบาย ... โอกาศใหม่ๆก็จะไม่เข้ามาหาคุณหรือคุณเองที่มองไม่เห็นมัน
ยิ่งคุณสบาย ... คุณยิ่งลืมเลือนตัวตนที่คุณเป็นและตัวตนที่คุณอยากจะเป็น
ยิ่งคุณสบาย ... คุณจะเสมือนเป็นคนไร้คุณค่าโดยคุณก็ไม่ทันได้รู้ตัว
ยิ่งคุณสบาย ... การออกจาก Comfort Zone จึงมีความสำคัญ

สุดท้ายนี้ ขอแชร์ประสบการณ์ตัวเองที่ยังติดใน Comfort Zone อยู่เหมือนกัน
ทุกวันนี้ ผมเองก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยธุรกิจของครอบครัว ซึ่งไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมายนัก
ยิ่งเราอยู่สบาย ความสามารถต่างๆที่ควรจะต้องพัฒนาขึ้น เราอาจจะมองข้ามมันไป
หลายสิ่งที่ควรจะทำวันนี้ ก็มักจะถูกละเลย หรือ ผลัดวันประกันพรุ่ง ไปซะหมด
แทบไม่มีการพัฒนาตัวเองในแต่ละวันเลย มีแต่ใช้ชีวิตไปวันวัน
เผาพลาญเวลาชีวิตที่ค่อยๆหมดไปของเรา กับสิ่งที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่างๆนานา
ทั้งเล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ ดูหนังน้ำเน่า ดูข่าวไม่สร้างสรรค์ 
ไปส่อง Facebook คนนู้นคนนี้ หาเรื่องนินทาชาวบ้าน 

ผมมักจะออกจาก Comfort Zone เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มสบายเกินไป
โดยการออกเดินทางไปในที่ต่างๆ ทั้ง แบบที่ไม่มีการวางแผนใดๆ และแบบที่วางแผนไปอย่างดี
สลับกันไป แล้วแต่จังหว่ะ เมื่อเริ่มเจอคำตอบที่ตามหา ก็กลับมาใช้ชีวิตใหม่
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ 
พลังในการทำสิ่งต่างๆมันเพิ่มมากขึ้น และมุมมองต่อเรื่องเดิมของเราเปลี่ยนไป

ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน พบเจอสิ่งที่ชีวิตตัวเองต้องการ และมีความสุขกับมันนะครับ
 

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ถ้าโลกนี้ขาดเธอ ความงามบนโลกต่างด้อยความหมาย

 รูปประกอบ ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเจ้าของบล็อคนะครับ อิอิ

ถ้าโลกนี้ขาดเธอ ความงามบนโลกต่างด้อยความหมาย
เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมคิดว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งสวยงามเต็มไปหมด
แต่เมื่อผมเริ่มเติบใหญ่
ผมกลับพบว่าสิ่งสวยงามที่แท้จริงแล้ว มีไม่มากมายนัก
ส่วนใหญ่เป็นสิ่งสวยงามปลอมๆ ที่ถูกแต่งแต้มขึ้น และถูกสร้างขึ้น

เมื่อผมเจอกับเธอแล้ว ผมพบว่า โลกนี้กลับมาสวยงามมากขึ้นอีกครั้ง
"ความรัก" ทำให้มุมมองต่อสิ่งต่างๆสวยงามขึ้นได้

แล้วสิ่งสวยงามของคุณคืออะไร ตามหาสิ่งนั้น และรักษามันไว้นะครับ