วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แม้นในค่ำคืนที่มืดมิด ยังมีแสงจากหลอดไฟช่วยให้ความสว่าง


ไม่มีคำว่า "เป็นไปไม่ได้" มีแต่คำว่า ไม่รู้จะทำให้มันได้อย่างไรมากกว่า

เล่าย้อนไปถึงเมื่อครั้งยุคหิน
มนุษย์ยังอยู่ในถ้ำ และใช้มันเป็น "บ้านที่อยู่อาศัย"
มนุษย์เอาหนังของสัตว์มาห่มแก้หนาว และใช้มันเป็น "เครื่องนุ่งห่ม"
มนุษย์เอาพืชที่มีพิษมากินต้านพิษ และใช้มันเป็น "ยารักษาโรค"
มนุษย์กินพืชและสัตว์แบบดิบๆ ไม่มีการปรุงแต่ง เพื่อให้มันเป็น "อาหาร"
มนุษย์ยังล่าสัตว์ด้วยก้อนหินและไม้ ซึ่งคือสิ่งที่ใช้เป็น "เครื่องมือ"

ทุกสิ่งทุกอย่าง มีการวิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ
เริ่มมีการใช้ "เครื่องจักร" และ "เทคโนโลยี" เพิ่มมากขึ้นหลังจากนั้น
จนทุกวันนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จนทำให้คนเราสบายมากขึ้นเรื่อยๆ

มี "รถยนต์"
เพื่อที่ไม่ต้องใช้แรงของสิ่งมีชีวิตลากจูง และเคลื่อนที่ได้เร็วและไกลกว่า
มี "เรือยนต์"
เพื่อที่ทำให้คนเราไม่ต้องว่ายน้ำหรือพายมือ เพื่อไปยังเกาะแก่งต่างๆ
มี "รถไฟ"
เพื่อให้สามารถเดินทางไปที่หนึ่งได้ ได้จำนวนมากๆ และช่วยในการลำเลียงสินค้า
มี "เครื่องบิน"
เพื่อที่ทำให้คนเดินทางจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่งได้ในเวลาไม่กี่วัน

มีการผลิต "เครื่องใช้ไฟฟ้า" และ "หลอดไฟฟ้าส่องสว่าง"
ทำให้เราสามารถเห็นได้ในที่ที่ไม่มีแสงสว่าง ไม่ต้องรอให้ตะวันขึ้นก็มองเห็นอะไรๆได้
และมีเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ช่วยให้เกิดความง่ายในการดำรงค์ชีวิตประจำวัน

มี พัดลม และ แอร์คอนดิชั่น 
เพื่อ ช่วยให้เราเย็นเมือ่อากาศมันร้อน
มี เครื่องทำน้ำร้อน
เพื่อช่วยให้เราได้ใช้น้ำที่อุณหภูมิที่ร่างกายรับได้
มี ทีวี และ เครื่องเสียง
เพื่อช่วยให้เราได้รับชมความบันเทิงต่างๆ
มี โทรศัทพ์ และ คอมพิวเตอร์
เพื่อให้เราได้ติดต่อสื่อสาร และทำงานต่างๆอย่างง่ายดาย

สิ่งเหล่านี้ จะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าคนเราไม่มีความคิดที่ว่า 
มันเป็นไปได้
มันดีกว่านี้ได้ 
มันยังทำอะไรได้มากกว่านี้

จงอย่าอายที่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น 
จงอย่าสนใจว่าใครจะหัวเราะเยาะเกี่ยวกับความคิดที่ยังไม่เคยมีใครทำได้
จงหาหนทางสร้างสรรค์สิ่งที่ยังไม่มีให้เกิดขึ้น
จงเป็นคนที่ทำให้ ความเป็นไปได้ เกิดขึ้นซะเอง
และจงมีความสุขกับชีวิตอันน้อยนิดนี้เทอญ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ไร่เชิญตะวัน เชียงราย ตอน ปิดหู ปิดตา ปิดปาก แต่ เปิดใจ


การที่จะอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขได้ 
คือ 
**** การรู้เท่าทันแล้วก็ปล่อยวางมันเสีย ****

หลายต่อหลายสิ่ง เป็นดั่งใจ เราก็มีความสุข
หลายต่อหลายสิ่ง ไม่เป็นดั่งใจ เราก็เกิดความทุกข์
แต่ทั้ง ความสุข และ ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่จีรัง เป็นอนัตตา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
มีแต่ตัวเราเท่านั้น ที่ไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้ มันดับไป แต่กลับยื้อและรั้งมันเอาไว้
สิ่งที่เกิดและจบไปแล้วในอดีต จึงยังคงแสดงอนุภาพในปัจจุบันได้อย่างน่าอัศจรรย์

ดังนั้น
เมื่อเรารู้ว่า ทุกสิ่งมันเป็นอนัตตา ไม่จีรัง เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไปแล้วไซร้
เราก็ควรปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นเสีย จึงจักดำรงอยู่กับปัจจุบันได้อย่างปกติ

หลักการง่ายๆ ที่เหมือนจะเคยได้ยินกันมาบ่อยๆ เห็นกันมาจนติดตา และได้พูดต่อๆกันมา
นั่นคือ
จง ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ในบางเรื่องไปซะบ้าง
แต่จง เปิดใจ ให้กว้าง เพื่อให้การดำรงชีวิตเป็นไปได้โดยปกติสุขมากที่สุด

ปริศนาธรรม ที่หนุ่มคิดบวก ได้ตระหนักรู้ เมื่อไปยืนมองดู รูปปั้นทั้งสี่รูปนี้
และอยากแบ่งปันให้ เพื่อนๆที่รักทุกท่าน ได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย

โยโย หนุ่มคิดบวก