วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

The Answer of PakSe (คำตอบจากปากเซ)

The Answer of PakSe (คำตอบจากปากเซ)

                        การเดินทางจากกรุงเทพฯไปปากเซ(ลาวใต้) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เดินทางจากพระราม9 มุ่งหน้าไปทางสระบุรีโดยใช้ทางวงแหวนรอบนอก แล้วผ่านไปทางโคราช-บุรีรัมย์-สุรินทร์ ไปจบที่อุบลราชธานี ไปพักที่บ้านใหม่ของเพื่อนที่เพิ่งเช่าได้ประมาณ 3 เดือนเท่านั้น เพื่อไปดูงานแห่เทียบนเข้าพรรษา ไปดูตอนกลางคืน ไม่ทันไปดูตอนแห่ ทั้งนี้เพราะเพื่อนที่เป็นเจ้าถิ่นดันเมากันแล้วกว่าจะส่างก็ค่ำๆ มื้อเย็นพอดี


                          เช้าวันรุ่งขึ้นก็ขับรถออกไปทางด่านช่องเม็ก ทำเรื่องข้ามแดนที่ด่าน แค่มีบัตรประชาชนก็ไปเที่ยวที่ลาว 2-3 วันได้แล้ว แต่ถ้าใช้ Passport ก็จะไปได้เป็นเดือนๆเลย มีที่รับฝากรถคืนละ 200 บาทและสำเนาของบัตรประชาชนจะใช้ประมาณ 4-5 ชุด มีที่ copy เอกสารแถวนั้นเรียบร้อย ค่าเข้าไปในลาวประมาณ 200 บาทได้จ่ายที่ฝั่งลาวเลย เป็นอุโมงใต้ดินให้เดินลอดเข้าไปง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไร


                               พอข้ามไปฝั่งลาวได้แล้วก็จะมีรถลีมูซีนรับจ้างมารับไปส่งในเมืองปากเซ ซึ่งห่างประมาณ 20 kms ส่วนใหญ่จะเป็นรถของ Hyndai เพราะภาษีคงถูกกว่าเจ้าอื่น และมันใหญ่คล้ายๆรถ MU7 ของ Isuzu เลย พวงมาลัยที่นี่อยู่ทางซ้ายมือ เวลาขับก็จะชิดขวา เส้นทางถนนยังเป็นดินลูกรังผสมหินคลุก สลับกับลาดยางมะตอยบ้าง ข้างทางจะเป็นเหมือนชนบทของบ้านเรา แต่ยังเขียวอุดมสมบูรณ์มาก เลี้ยงควายทำไรทำนากันอยู่ ขับผ่ายสะพานข้ามแม่น้ำโขงก็จะเป็นตัวเมืองปากเซแล้ว สะพานยาวพอสมควรดังรูป



                          เมืองปากเซ จะมีคนดังประจำถิ่นคุมนั่นคือ กลุ่มดาวเรือง ที่เป็นเจ้าของ Dao Coffee ซึ่งได้ทำตลาดที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ให้แก่ชาวบ้าน มีการเดินทางไปเที่ยวน้ำตกที่ถือว่ามีความสวยงามมาก คือ น้ำตกตาดเยี่ยง ที่น้ำตกจะมีความสูงและแรง พอน้ำกระทบพื้นก็จะมีละองน้ำกระเซ็นออกมาดังรูป สวยงามมาก


                            ประทับใจมาก อาจจะต้องไปซ้ำอีกสักรอบนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The NOW clock (ปัจจุบันขณะ)

The NOW clock (นาฬิกา NOW)


จากธรรมะที่ได้ฟังมาจากท่าน ว.วชิรเมธี เกี่ยวกับนาฬิกา NOW เลยไปหารูปมา แล้วอยากจะเล่าต่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

จากที่ท่านวอ ได้ไปเยี่ยมท่าน ติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) ซึ่งเป็นพระนิกายเซนที่โด่งดังของโลก ท่านวอได้เห็น
นาฬิกาประหลาดเรือนหนึ่ง ที่ไม่บอกตัวเลขเวลาบนหน้าปัด บอกแต่ it's NOW ซึ่งมีนัยทางธรรมอยู่สามประการ

1. จงอยู่กับเวลาปัจจุบัน
เราต้องไม่หวนคิดถึงอดีต...ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องในอดีตเพราะมันผ่านไปแล้วไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้อีก
ไม่ฟุ้งไปในอนาคต...ไม่มีประโยชน์อีกเช่นกันที่จะคิดเรื่องในอนาคตเพราะมันยังมาไม่ถึงและไม่มีความแน่นอนว่าจะเกิดขึ้น
แต่จดจ่อกับปัจจุบันขณะ...เพราะเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นของจริง ถ้าเราไม่ทำผัจจุบันให้ดีไม่นานก็จะกลายเป็นอดีตแล้วไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขมันได้อีก

2. จงให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้า
เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าของเรา คือคนที่เป็นปัจจุบัณขณะ หรือคนที่ทำให้เราได้อยู่กับความเป็นจริง ณ เวลาปัจจุบัน
ไม่ใช่คนที่เราเคยพบเมื่อนานมาแล้ว และไม่ใช่คนที่เรากำลังจะพบในอนาคต
จึงควรให้ความสนใจและความสำคัญต่อเขามากๆ ใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างดีที่สุด จะก่อเป็นความประทับใจต่อกัน และเพิ่มสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สืบไปในภายภาคหน้าต่อไปได้

3. จงให้ความสำคัญกับงานที่ทำอยู่ปัจจุบัน
เพราะงานอะไรที่เคยทำไปแล้ว ทั้งที่สำเร็จหรือล้มเหลว เราก็ไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขได้
และงานที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต ก็เป็นงานที่คาดว่า...ประมาณว่า... อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ทั้งนั้น
แต่งานที่ทำปัจจุบัน คือของจริง ถ้าเราตั้งใจทำมันอย่างดีที่สุด ผลของมันย่อมออกมาดีที่สุดเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Think out of the frame (คิดนอกกรอบ)

Think out of the frame (คิดนอกกรอบ)


ภาพนี้ถ่ายที่ รพ.แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ช่วงตอนเช้าๆ แรกๆก็ถ่ายมั่วๆไป แต่มาดูภายหลัง...ก็สวยใช้ได้ อิอิ

ข้อคิดจากรูปนี้...
ทุกวันนี้สังคมรอบตัว พยายามสร้างกรอบ แล้วให้คนในสังคมทำตามกรอบที่วางไว้
กรอบตัวนี้เรียกว่า บรรทัดฐาน ซึ่งเกิดจากแนวคิดของคนส่วนใหญ่ หรือ คนที่มีอิทธิพลในสังคมนั้นๆ วางไว้เพื่อให้คนอื่นๆทำตาม

สตีฟ จอบ เคนกล่าวไว้ว่า
"ชีวิตของคนเรามันแสนสั้นนัก ดังนั้นอย่าเสียเวลาที่จะทำตามกรอบของคนอื่น จงทำตามสิ่งที่ภายในของตัวเองเรียกร้องซะ"

มีนิทานฝรั่งเล่าไว้ว่า
คนที่เดินทางโดยใช้เส้นทางที่คนอื่นไป ก็จะได้เห็นแต่รอยเท้าที่คนอื่นๆเค้าเดินไปก่อนล่วงหน้าแล้วเท่านั้่น
แต่คนที่เดินทางโดยใช้เส้นทางที่คนอื่นยังไม่ได้ไป อาจจะเจอกับขุมทรัยพ์ที่ล้ำค่าในอีกฟากของภูเขาก็เป็นได้

คำถามคือ
ทำไมต้องทำเหมือนเดิม? ทำไมต้องทำตามคนอื่นๆ?
ถ้าเรายังคิดเหมือนคนอื่น ยังลอกการบ้าน หรือทำตามคนอื่นๆ แล้วสิ่งที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

The Identify (อัตลักษณ์)

The Identify (อัตลักษณ์)


วันนี้ได้ดูรายการทีวีรายการหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตามติดวิธีชีวิตของชาวบ้านแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย
รายการนี้ได้เล่าเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี และวิธีชีวิต ที่มีการสือทอดจากรุ่นสู่รุ่นของชาวบ้านแห่งนี้

มีข้อคิดดีๆหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ได้คิดนั่นคือ หลายครั้งคนเราพยายามตามให้ทันกับสังคม หรือเทรนด์สมัยใหม่
แต่อาจจะลืมไปว่าตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร เรามาจากที่ไหน แล้วเราจะสืบทอดสิ่งดีๆเหล่านั้นต่อไปหรือไม่

ถ้ามีคนถามคุณว่า "อะไรคือตัวตนหรืออัตลักษณ์ของคุณ ที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ?"
คุณจะตอบเค้าไปว่าอย่างไร

ปล.รูปประกอบ ผมจะสื่อว่า ดอกไม้ ถึงแม้จะร่วงหล่นจากต้นของมัน ตัวตนของมันก็ยังเป็นดอกไม้เช่นเดิมนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Strategy (กลยุทธ์)

The Strategy (กลยุทธ์)


ผู้ที่รู้จักวางและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ (Strategy) ที่เหมาะสมกับสถานะการณ์ในขณะนั้นๆได้
จะสามารถสร้างขีดความสามารถให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน (Compettitive Advantage) ในระยะยาวได้

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Strength (จุดแข็ง)

The Strenge (จุดแข็ง)


ภาพนี้ copy มาจากทาง Facebook แต่จำ source ไม่ได้
ซึ่งคำแปลนั้นช่างกินใจลึกซึ้งนัก นั่นคือ
"ทุกๆคนคืออัจฉริยะ. แต่ถ้าตัดสินปลาจากความสามารถในการปีนต้นไม้แล้ว ทั้งชีวิตของมันจะเชื่อว่ามันช่างโง่เง่าแท้เหลา"

นั่นคือ เป็นการไปตัดสินผู้อื่นจากเรื่องที่ไม่ใช่จุดเด่น หรือความสามารถหลักของเค้า ช่างเป็นเรื่องที่โง่เง่า และจะทำให้คนๆนั้น
อาจจะคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ และอาจจะเสียจุดยืนของตนก็เป็นได้

เป็นวลีที่อ่านแล้ว เป็ดพ่นไฟจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The fog (ทะเลหมอก)

The fog (ทะเลหมอก)


ภาพนี้ถ่ายที่ภูลังกา จ.พะเยา ช่วงเวลาเช้าตรู่ของอรุณรุ่งช่วงเทศกาลปีใหม่ ทะเลหมอกยังคงหนาแน่น และแสงแดดยามเช้าก็สาดส่องให้ความอบอุ่น ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นประมาณ 10' C ได้ ภาพนี้ดูแล้วรู้สึกถึงความอบอุ่นของแสงจากดวงอาทิตย์ และความหนาวเย็นของทะเลหมอกที่ปกคลุมทั่วบริเวณ

แง่คิดที่ได้จากรูปนี้ ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นจงอย่ายึดติดกับสิ่งใด และจงยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ดั่งภาพนี้ที่ใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นพระอาทิตย์ก็ส่องแสงให้ความสว่างทั่วท้องฟ้า จำได้ว่าเวลาแค่สั้นๆเท่านั้นหมอกก็เริ่มจากหายไป และแสงอาทิตย์ก็ค่อยๆทำให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นจนได้รูปนี้ออกมา

ท้ายนี้ จงยอมรับในความจริงที่ว่าทุกสิ่งล้วนไม่จีรังยั่งยืน และจงเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง แล้วเราอาจจะได้โอกาสที่ดีจากการเปลี่ยนแปลงนั้น ก็เป็นได้

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Restraint of Love (พันธนาการของความรัก)

The Restraint of Love (พันธนาการของความรัก)


รูปนี้ถ่ายที่เกาหลี บนโซลทาวเวอร์ เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งคนเกาหลีเค้าจะมีความเชื่อว่า ถ้าคู่รักใดได้เอาแม่กุญแจมาคล้องไว้ที่นี่
แล้วโยนลูกกุญทิ้งไป จะทำให้คู่รักนั้น รักกันตลอดไป

สำหรับข้อคิดที่ได้จากรูปใบนี้ ชี้ให้เห็นว่า คนเราพยายามที่จะพันธนาการความรักให้เค้าหรือเธอ รักเราตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด เพราะความรักเป็นเรื่องที่อ่อนไหวได้ง่าย จึงต้องการบ่งสิ่งบางอย่างมายึดเหนี่ยวจิตใจให้รู้สึกถึงความมั่นคงมากขึ้น

แท้จริงแล้ว ผมคิดว่า"ความรัก" มันไม่สามารถที่จะพันธนาการเอาไว้ด้วยสิ่งที่เป็นกายภาพต่างๆได้ แต่มีสิ่งที่จะคล้องใจให้คนสองคนรักกันได้อย่างยืนยาว คือสิ่งที่เป็นจินตภาพ นั่นคือ ความรู้สึกที่ผูกพัน ทั้งจากความรัก ความห่วงหา ความสงสาร ความหวังดี และอื่นๆ มากกว่าที่จะเอาสิ่งพันธนาการต่างๆ มาเหนี่ยวรั้งให้คนรักกัน

ขอให้เจอรักที่ผูกพัน และมีความหวังดีต่อกัน ตลอดไปนะครับ

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Time (เวลา)

The Time (เวลา)


เวลา...เป็นทรัพยากรที่ทุกคนมีอยู่เท่าๆกัน ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้า หรือยากจนค้นแข้นสักเพียงไหน คือ 24 ชม/วัน
เวลา...เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดที่จะย้อนกลับได้ มีแต่เดินหน้าไปอย่างเดียว
เวลา...เป็นสิ่งที่เมื่อหมดไปแล้วก็จะไม่สามารถที่จะหามาชดเชย หรือเพิ่มเติมทีหลังได้

ดังนั้น
เวลา...จึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของมนุษย์
แต่คนส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเวลาที่ตนเองนั้นมี
คนเหล่านี้จึงชอบคิดว่า "ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ ค่อยทำวันอื่นก็ได้" จึงมักจะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้ม
คนเหล่านี้จึงคุณเคยกับการ "ผลัดวันประกันพรุ่ง" และการ "ขายผ้าเอาหน้ารอด" ไปวันๆ
คนเหล่านี้จึงโดนการพอกพูนของงานที่มากเหลือ และประดังเข้ามาพร้อมๆกัน ดังที่เรียกว่า "ดินพอกหางหมู"
คนเหล่านี้จึงมีความทุกข์ จากการที่ตนเองไม่ยอมใช้เวลาที่ตนนั้นมีให้เกิดประโยชน์
และคนเหล่านี้จึงชอบป่าวประกาศว่า "เวลาไม่มี" ทั้งๆที่คนอื่นๆ ที่เขาสามารถใช้เวลาอย่างคุมค่าไม่เคยที่จะพูดแบบเดียวกันเลย

จึงมีการคิดเครื่องมือในการลริหารเวลาขึ้นมา เพื่อช่วยให้สามารถใช้เวลาที่มีเกิดประโยชน์ได้เพิ่มมากขึ้น

1. การแบ่งความสำคัญของงาน (A-B-C-D Method)

1.1 ให้ List งานหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำ และเวลาแล้วเสร็จ แล้วเขียนออกมาเป็นข้อๆ
1.2 ให้ แบ่งความสำคัญของกิจกรรมนั้นๆ ตามมิติของความสำคัญ และ ความเร่งด่วน เขียนกำกับไว้ด้านหน้า ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
       A - สำคัญ และเร่งด่วน
       B - สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน 
       C - ไม่สำคัญ แต่เร่งด่วน
       D - ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน
       Remark: การกำหนดความสำคัญ และความเร่งด่วน จะขึ้นกับแต่ละคน จึงไม่สามรถที่จะกำหนดตายตัวว่า แบบไหนคือ 
                   สำคัญ และเวลาแค่ไหน คือเร่งด่วน
1.3 ให้พิจารณาว่างาน A, B, C, D ควรจะทำเอง หรือมอบหมายให้ผู้อื่นช่วยทำ
      - ซึ่งงานที่มีความสำคัญและมีเราเท่านั้นที่ทำได้ ไม่ควรมอบหมายให้ผู้อื่นทำ ควรลงมือทำเอง
      - ส่วนงานที่เร่งด่วน ถ้าไม่สำคัญและมีคนที่พอจะทำได้ ก็มอบหมายงานนั้นไป หรือไม่ก็หาพันธมิตรเพื่อลดงานในส่วนนี้
      - ส่วนงานที่ไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วน ก็เก็บใส่แฟ้มงานไว้ แล้วเก็บเข้ากรุไปก่อน รอเวลาที่มันสำคัญ หรือเร่งด่วน ค่อยว่าอีกที

2. การแบ่งความสำคัญของความสมดุลย์ในชีวิต (Life Management)

2.1 แบ่งเวลาของชีวิต 24 ชม.ให้ใช้ไปกับ
     - การงาน/การเรียน
     - ครอบครัว (พ่อแม่พี่น้อง/ญาติ/แฟน/ลูก)
     - สังคม (หัวหน้า/เพื่อนร่วมงาน/ลูกค้า/suppliers/เพื่อนเก่าเพื่อนแก่)
     - สุขภาพ(ร่างกาย)
     - ความสุขของเราเอง(จิตใจ)
    การแบ่งเวลาสำหรับสิ่งเหล่านี้ เราจะต้อง Balance ไม่ให้มันสุดโต่งไปแค่ทางใดทางหนึ่ง และต้องไม่ให้งดจนขาดไม่มีเลย
    ซึ่งการแบ่งเวลาก็จะขึ้นกับปัจจัยช่วงชีวิตของเราอีกด้วย ตามความสำคัญและเป้าหมายของเราในช่วงเวลานั้นๆ
    ในตอนนี้ ยังไม่อยากสรุปออกมา เพราะผู้เขียนเองก็ยังไม่เข้าใจแบบถ่องแท้ว่ามีปัจจัยอะไรกระทบบ้าง จึงขอแนะให้เป็นแนวก่อน

พล่ามซะยาว แต่คาดว่าจะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อยกับผู้อ่านนะครับ ของให้ใช้เวลาที่คุณมีอย่างมีประโยชน์ที่สุดนะครับ ^_^

โดย YoYo_Power Engineer


วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Simple (ความเรียบง่าย)

The Simple (ความเรียบง่าย)


                ภาพนี้ ถ่ายที่ ม่อนแจ่ม จ.เชียงใหม่ เนื่องจากมีโอกาศได้ไปที่เชียงใหม่และสถานที่นี้กำลังได้รับความนิยม เลยอดไม่ได้ที่จะต้องแวะไปชม และได้เก็บภาพดีๆกลับมาเยอะเลย

               แง่คิดดีๆที่ได้จากรูปนี้ คือ ความเรียบง่าย บางครั้งก็มีความงดงามที่ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เข้าใจได้ไม่ยาก และดูดีในแบบของมัน หลายต่อหลายครั้ง ที่เราพยายามทำเรื่องง่ายให้ดูยุ่งยาก เพื่อที่จะได้ดูมืออาชีพ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผมแล้วความเรียบง่าย คือหัวใจของการทำให้ชีวิตสงบ และมีความสุข ไม่จำเป็นต้องจบดอกเตอร์ที่ไหน ไม่ต้องมีความรู้เฉพาะด้านนั้นๆ ทุกคนสามารถเข้าใจความเรียบง่ายนั้นได้เหมือนกัน และชื่นชมความสุนทรีของมันได้ดียิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Be a Hero or Leader (จะเป็นฮีโร่หรือผู้นำ)

Be a Hero or Leader


รูปนี้เป็นรูปเกี่ยวกับ เหล่า Super Hero จากหลายๆเรื่อง ทั้ง Iron man, Captain America และ Thor

จากที่ได้เห็นรูปนี้ ทำให้ผมคิดไปถึงเรื่อง ความแตกต่างระหว่างการเป็น ผู้นำ (leader) และ ผู้จัดการ (Manager or Hero)
ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ผู้จัดการ (Manager or Hero) >>>
ผู้จัดการหลายคนชอบทำตัวเป็นฮีโร่ ซึ่งหน้าที่หลักๆ คือ การบริหารจัดการตัวงานให้มีประสิทธิภาพตามขอบเขตที่ได้วางแผนไว้ ทั้งด้านคุณภาพ, ด้านทรัพยากรที่ใช้ และด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษจะสามารถเป็นผู้จัดการที่ดีได้ โดยการปรับใช้ความสามารถที่ตนมีจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะกับคนประเภท One-Man-Show เป็นอย่างยิ่ง

ผู้นำ (Leader) >>>
ผู้นำ มีหน้าที่หลักๆ คือ การเป็นผู้ที่ชี้แนะเส้นทางที่ควรจะมุ่งหน้าไปของทีม หรือองค์กร ดังนั้นผู้นำที่ดีต้องสามารถของการประเมินและคาดการณ์สถานะการณ์ในอนาคตได้ หรือที่เรียกว่า Vision เพื่อที่จะนำพาทีมหรือองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ โดยผู้นำอาจจะมี หรือ ไม่มีความสามารถในการจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเท่ากับ Hero ของเรา แต่เป็นคนที่มีความสำคัญยิ่งที่จะชี้นำสิ่งต่างๆที่เหล่า Hero ควรจะมุ่งหน้าไปโดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ดังนั้น ถ้าคราวหน้าหัวหน้าคุณทำตัวเป็น Hero แต่ไม่ยอมชี้แนะว่าควรจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เราพบเจอ ก็ขอให้เข้าใจว่าเค้าอาจจะเป็นแค่ Hero แต่ไม่ถึงกับมีความสามารถของการเป็น Leader ด้วยก็เป็นได้

Keep smile and do the best for your job นะครับ

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Parallel (เส้นขนาน)

ถึงแม้เส้นขนานจะไม่มีวันบรรจบกัน แต่มันก็จะเดินทางเคียงข้างกัน...ไม่มีแยกจากกัน...เช่นกัน


ความรัก... บางคู่อาจจะสมหวัง บางคู่อาจจะผิดหวัง
แต่ถึงจะไปกันได้รึไม่ก็ตาม ถ้าลองนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่สวยงามเหล่านั้น

เราก็ได้คนๆหนึ่งที่เดินเคียงคู่กับเราไปพร้อมๆกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข
ถึงจะไม่สามารถที่จะบรรจบพบกันได้ แต่ก็ได้ร่วมเคียงคู่ไปด้วยกันไม่แยกจากไปไหน

ลองนึกในมุมที่ดีๆ แล้วเก็บเป็นประสบการณ์ของชีวิต เก็บไว้เป็นเรื่องที่น่าจดจำ
เพราะในวันหนึ่งที่แก่ชรา เราก็จะได้ยิ้มได้กับเรื่องแบบนี้ ก็เป็นได้